ข่าว ทั่วไป

ปีชง 2558 ปีชงมีอิทธิพลต่อมนุษย์จริงหรือไม่

และ แล้วปีเก่าก็ผ่านไป ปีใหม่ก็เข้ามาแทนที่ และสิ่งที่อยู่คู่กับการเปลี่ยนปีพุทธศักราชมายาวนานนั่นก็คือเรื่องความ เชื่อ โดยเฉพาะเรื่อง "ปีชง" ที่เป็นที่ตระหนักในวงกว้างมาได้หลายปีแล้ว จนใครต่อใคร ต่างต้องพากันไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ แก้ปีชงกันยกใหญ่ แต่ทว่าเรื่องนี้นั้น ก็ยังมีอีกหลายคนที่สงสัย ว่า"ปีชง" คืออะไร เราควรเชื่อมันมากน่้อยแค่ไหน?

 ซึ่ง อ.เผ่าทอง ทองเจือ ได้แชร์บทความที่อธิบายเรื่องของปีชงไว้ดังนี้
"ปีชง คืออะไร? หลงไหลจนลืมความจริงหรือไม่ ? ความเชื่อของปีชงเป็นวัฒนธรรมความเชื่อที่ถ่ายทอดกันมาจากลัทธิเต๋า อันกล่าวว่าสรรพสิ่งประกอบกันภายใต้ ธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง

 ซึ่ง ธาตุทั้ง 5 นี้ จะมีความสัมพันธ์ต่อกันและทำลายล้างต่อกัน อาทิเช่น ธาตุไฟ จะทำลายธาตุไม้ และถูกทำลายโดยธาตุน้ำ ดังนั้นธาตุไฟจึงเป็นอริกับไมัและทองหรือเรียกให้ง่ายขึ้นคือ. "ชง" นั่นเอง

 และ นี่เองคือบันไดขั้นแรก (ขอย้ำก่อนว่า คือบันไดขั้นแรก) ของที่มาที่ไปของการก่อกำเนิดของที่พวกเราพูดกันสนุกสนานกับเรื่องของการ "ชง"และเป็นจุดเริ่มต้นของ "ชงพาณิชย์" ชนิดสร้างความร่ำรวยให้กับ วัด ศาลเจ้า และพวกตั้งตัวแก้ชงกันยกใหญ่

 ซึ่ง จากนี้ ข้าพเจ้าฉีเทียนฯ ขอสร้างความกระจ่าง เพื่อเปิดสติ เพื่อเปิดปัญญา เพื่อความไม่หลง ดังนี้ คนเราเกิดภายใต้นักกษัตริย์ทั้ง 12 ซึ่งดาวนักกษัตริย์ทั้ง 12 นี้ แต่ละนักกษัตริย์ก็จะอยู่ภายใต้ดวงดาว ที่เรียกว่า หลักจับกะจื้อ ซึ่งหมุนเวียนภายใต้ ธาตุทั้ง 5 ตัวอย่างเช่น ปีมะแมปีนี้ธาตุไม้ ซึ่งแน่นอนว่า ปีมะแมจะเป็นปีอริ กับฉลู และปะทะร่วมกับมะโรงและจอ

แต่ ที่สำคัญที่สุดที่ทั้งวัดก็ดี ศาลเจ้าก็ดี พวกอาจารย์ชงพาณิชย์จำกัดก็ดีไม่มีเคยเปิดเผย เอาแต่ประกาศเหมาเลย ว่าชง 4 ปี จะได้มีคนมาเยอะๆ รับทรัพย์กันมากมาย ซึ่งก็ได้ผล คนแห่กันมาแก้ชงกันเป็นล้านๆ คน ซึ่งความจริงแล้วมันไม่ใช่ 

อ้าว ถ้างั้นมันชงกันเช่นไร เรามาติดตามต่อ จะอธิบายให้ฟัง ว่าตอนนี้พวกเราชงหรืองงกันแน่ กล่าวคืออย่างเช่น ปีนี้มะแมไม้ ปีชงได้แก่ ฉลู มะโรง จอแต่มันไม่ได้หมายความว่า ปีทั้ง 4 นี้ชงทุกคน ขอแจ้งว่ามันชงแค่บางคนบางกลุ่ม กล่าวคือ ต้องเป็นฉลู มะโรง และ จอ ที่เกิดในธาตุเจ้าเรือน ของ ไฟ น้ำ และไม้ เท่านั้น

 ส่วนผู้ที่เกิดในธาตุเจ้าเรือนเป็นทอง ลม ย่อมไม่เกี่ยวข้องใดใดเลย เพียงแต่พวก "ชง พาณิชย์" เล่นปล่อยข่าวกันซะกระแสยังกับสึนามิ ทำให้สิ่งที่ตามมาคือ ขาดสติ เพราะความกลัว ขาดปัญญาเพราะไม่ทราบที่มา เลยเป็น "เหยื่อ" ของพิธีกรรม "ชงพาณิชย์" อันสร้างรายได้มหาศาล (ขอย้ำว่ามหาศาลจริง ๆ ปีนึงปีนึงไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท จากสถิติที่ได้มีการสำรวจ)

ดังนั้น ข้าพเจ้าฯ คิดว่า ถึงเวลาแล้วที่คนไทย ไม่ว่าจะเชื้อสายอะไร ควรเข้าใจ และกระจ่างในเรื่องของการชง และไม่ควรย้ำทุกข์ภายใต้เศรษฐกิจที่แย่แบบนี้ด้วยการให้ผู้คนต้องมาเสียเงิน โดยใช่เหตุ เพราะทั้งวัดทั้งศาลเจ้า ทั้งอาจารย์ชงพาณิชย์ ทั้งหลาย แม้นท่านจะมีเจตนาดีก็ดี เจตนาฉวยโอกาสหาเงินก็ดี ก็ควรให้มันถูกให้มันควร 

มิ ใช่ตอกย้ำความทุกข์ทั้งที่ความจริงแล้ววัดก็ดี ศาลเจ้าก็ดี อาจารย์ทั้งหลายก็ดี ถามว่ามีใครกล้ารับรองหรือประกันความเสี่ยงให้กับคนมี ที่มาเสียเงินแก้ชงไหม. หากเสียเงินไปแล้วแล้วมันยังมีเรื่องหล่ะ ไปขอทวงเงินคืนหรือเรียกร้องค่าเสียหายได้ไหม? ไม่มีทางแน่นอน

 ดัง นั้น ในอดีตกาล พิธีแก้ชงนั้น วัดหรือศาลเจ้าจะจัดทำให้โดยระบุไปเลยว่าเฉพาะผู้เกิดปีไหน เฉพาะ พ.ศ ไหน ที่เป็นธาตุปะทะเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้เล่นเหมาหมด มั่วหมด จะได้รับทรัพย์สุดสุด ที่สำคัญคือการแก้ชงในอดีต เขาจะให้ใส่เงิน 12 บาท เพื่อแทนนักกษัตริย์ทั้ง 12 ซึ่งมีความหมายในตัวเองไม่ใช่คนละเป็นร้อย ๆ แบบหาที่มาที่ไปไม่ได้ หาได้อย่างเดียวคือ รับทรัพย์อย่างเดียว

ส่วน คนชง ชงจริงไม่จริงก็โดนหลอกเงินไปก่อนแล้วชนิด งง ก่อน ชง ซะอีก ดังนั้น ข้าพเจ้าฉีเทียนต้าเสิ้ง ขอเปิดความรู้ ความเข้าใจ และปัญญาแก่ทุกท่าน เพื่อเป็น สติ ปัญญา และความรู้ ในวันปีใหม่นี้ ขอให้ทุกท่านจงเข้าใจในเรื่อง "ชง" อย่างถูกต้อง อย่าได้ถูกเหมาชง มิฉนั้นจะ งงอย่างเสียสติ
 .... โดยฉีเทียนต้าเสิ้ง...."
ทั้งนี้ได้มีผู้สงสัยเรื่องปีชง ส่งคำถามไปยัง พระไพศาล วิสาโล เพื่อหาคำตอบ และทำความเข้าใจ กับความเชื่อนี้ ซึ่งท่านพระไพศาลก็ได้ให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องปีชงดังนี้

"ปุจฉา - กราบนมัสการพระคุณเจ้า อยากกราบเรียนถามพระคุณเจ้าในเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับการชงว่า เท็จจริงในศาสนาพุทธมีหลักคำสอนเกี่ยวกับในเรื่องนี้อย่างไร ว่าควรเชื่อในการชงหรือใช้พิจารณญาณในการดำเนินชีวิตคิดตัดสินใจ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ฤกษ์ยามนั้นไม่สำคัญเท่ากับกรรมคือการกระทำ หากทำดีด้วยความพากเพียรแล้ว ย่อมได้รับประโยชน์ดังหวัง โดยไม่จำต้องพึ่งฤกษ์ยาม คนที่เอาแต่พึ่งฤกษ์ยาม ไม่รู้จักพึ่งตนเองนั้น ถือว่าเป็นคนโง่ ดังมีพุทธพจน์ว่า “ประโยชน์ย่อมล่วงเลยคนโง่ผู้มัวถือฤกษ์อยู่” อันที่จริงเมื่อใดที่เราทำความดี เมื่อนั้นก็เป็นฤกษ์ดี ยามดีอยู่แล้ว ดังมีพุทธพจน์อีกตอนหนึ่งว่ “สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบในเวลาใด เวลานั้นย่อมชื่อว่าเป็น ฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี”

มาถึงตรงนี้ก็คงจะเห็นแล้วว่าความเชื่อเรื่องชงนั้นไม่มีอยู่ในคำสอนของพุทธศาสนา ที่จริงกลับสวนทางกับคำสอนของพระพุทธองค์ด้วยซ้ำ หากจะทำอะไรก็ตาม ก็ให้มั่นคงในความดี มีความเพียร และใช้สติปัญญา รวมทั้งคำนึงถึงคำสอนของพระพุทธองค์เรื่องสัปปุริสธรรม นั่น คือ จะทำ อะไรก็ตาม ควรรู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน รู้จักประมาณ รู้จักกาล รู้จักชุมชน และรู้จักบุคคล หากรู้ทั้ง ๗ ประการนี้แล้ว ก็ย่อมประสบความสำเร็จ มีชีวิตที่เจริญงอกงาม"


สรุปแล้ว ความเชื่อเรื่องปีชง เป็นความเชื่อตามหลักความเชื่อแบบจีน ที่คนไทยเรานิยมปฎิบัติตาม เพราะเชื่อว่าทำแล้วช่วยให้ชีวิตดีขึ้น อุปสรรคหมดไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเป็นหลัก ตามที่พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ว่า ทำดีได้ี ทำชั่วได้ชั่ว ที่สำคัญคือ ต้องใช้อย่างมีสติ รู้เท่าทัน ชีวิตของเราก็จะเจริญงอกงาม ดังที่พระท่านได้กล่าวไว้
ขอบคุณข้อมูลจาก :: Paothong Thongchua ,
 พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

หวย99 | Distributed By เว็บหวยออนไลน์ | Designed By หวย99

รูปภาพธีมโดย Bim. ขับเคลื่อนโดย Blogger.